Showing posts with label สุขภาพ. Show all posts
Showing posts with label สุขภาพ. Show all posts

"หมอศิริราช" ค้นพบยาต้านเชื้อไวรัสอีโบลา แห่งแรกของโลกแล้ว

♠ Posted by Unknown in

ศิริราช'เจ๋งพบยารักษา'อีโบลา'แล้ว


สำเร็จเป็นรายแรกของโลก "หมอศิริราช" สุดเจ๋ง ค้นพบยาต้านเชื้อไวรัสอีโบลา เตรียมเปิดตัวสู่สายตาชาวโลก 2 ต.ค. เชื่อเป็นความหวังให้ผู้ป่วย หลังเชื้อร้ายสร้างความหวาดผวาไปทั่วทุก มุมโลกและยังไร้ตัวยาต่อต้าน

วันจันทร์ 29 กันยายน 2557 เวลา 14:21 น.
เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ได้ศึกษาวิจัยและผลิตแอนติบอดี รักษาโรคโรคไข้เลือดออกอีโบลาได้เป็นผลสำเร็จ และเป็นแห่งแรกของโลกแล้ว โดยจะมีการแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในหัวข้อ "ครั้งแรกของไทย ศิริราชผลิตแอนติบอดีรักษาโรคไข้เลือดออกอีโบลาสำเร็จ" ในวันพฤหัสบดีที่ 2 ต.ค. 2557 เวลา 10.00 น. ที่ห้อง A201 อาคารศรีสวรินทิรา ชั้น 2 รพ.ศิริราช โดยมี ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นประธานการแถลงข่าวร่วมกับ รศ.ดร.นพ.ภัทรชัย กีรติสิน หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา ศ.เกียรติคุณ ดร.วันเพ็ญ ชัยคำภา ภาควิชาปรสิตวิทยา และ ศ.ดร.พญ.รวงผึ้ง สุทเธนทร์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยพร้อมทีมแพทย์และผู้เกี่ยวข้องร่วมในการแถลงข่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานงานเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาสถานการณ์การระบาดของโรคอีโบลา มีความรุนแรงและมีแนวโน้มที่จะขยายตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่มีวัคซีนป้องกันและไม่มียาเฉพาะในการรักษา ส่งผลให้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เล็งเห็นถึงความสำคัญ จึงมีการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในการรักษาโรคดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถค้นพบการผลิตแอนติบอดีรักษาโรคโรคไข้เลือดออกอีโบลาสำเร็จ.
ที่มา:dailynews

ก็มีดี! วิจัยชี้นอนดึกตื่นสาย มีแนวโน้มฉลาดแถมรวย

♠ Posted by Unknown in
ก็มีดี! วิจัยชี้นอนดึกตื่นสาย มีแนวโน้มฉลาดแถมรวย

นักวิจัยจากสเปน เปิดเผยงานวิจัยพบว่าคนนอนตื่นสายมีแนวโน้มที่จะฉลาด มีเหตุผล และมีทักษะในการวิเคราะห์ดีกว่าคนที่นอนเร็วตื่นเช้า



ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยมาดริด ประเทศสเปน ได้เปิดเผยผลการวิจัยชิ้นใหม่ "คนนอนดึกตื่นสายมีแนวโน้มจะฉลาด" มีเหตุผลกว่าคนที่นอนเร็วตื่นสาย อันจะนำมาซึ่งการได้งานที่ดีกว่า มีรายได้มากกว่า

โดยงานวิจัยชิ้นนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้สำรวจความเห็นจากวัยรุ่น 1,000 คน ก่อนที่จะจำแนกกลุ่มตัวอย่างได้ออกเป็น 3 กลุ่มคือ คนที่นอนเร็วตื่นเช้า 25% คนที่นอนดึกตื่นสาย 32% และส่วนที่เหลือซึ่งไม่ถูกจัดอยู่ใน 2 ประเภทนี้

จากการนำกลุ่มตัวอย่างทั้ง 1,000 คน มาวัดผลด้านประสิทธิภาพในการสอบในแต่ละวิชาและความฉลาดเชิงอุปนัยนั้น พบว่าคนที่นอนดึกตื่นสายจะทำคะแนนการทดสอบด้านการใช้เหตุผลเชิงอุปนัยได้สูงกว่า ขณะที่คนที่นอนเร็วตื่นเช้ามักจะทำคะแนนในด้านการเรียนได้สูงกว่า นั่นเพราะตารางเรียนซึ่งมักจะมีวิชาเรียนในตอนเช้านั้น มีความเหมาะสมกับตารางชีวิตของคนที่นอนเร็วตื่นเช้ามากกว่านั่นเอง

จากการทดสอบนี้ เป็นไปได้ว่าเหล่าคนที่นอนดึกตื่นสาย มีแนวโน้มที่จะฉลาดและมีฐานะดีกว่าเหล่าคนที่เข้านอนเร็วและตื่นเช้า เนื่องจากเหล่าคนที่นอนดึกตื่นสาย จะมีความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงอุปนัย การวิเคราะห์แบบนามธรรม และมีความสามารถในการรับมือกับปัญหาได้ดีกว่า ซึ่งนั่นทำให้พวกเขามักจะมีอาชีพการงานที่ดี และมีรายได้ที่สูงกว่าคนที่นอนเร็วตื่นเช้า

ขณะที่ จิม ฮอร์น นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยลูฟเบอร์ของอังกฤษ กล่าวว่า เหล่าคนที่นอนดึกตื่นสายมักจะเป็นคนที่ชอบกิจกรรมนอกบ้าน สร้างสรรค์ มีความเป็นกวี ศิลปิน และนักออกแบบ ขณะที่คนซึ่งนอนเร็วตื่นเช้ามักจะทำงานจำพวก นักบัญชี หรือข้าราชการมากกว่า

สำหรับตัวอย่างของผู้ที่นอนดึกตื่นเช้าซึ่งฉลาด มีรายได้ดี และน่าเคารพนั้น มักจะเป็นกลุ่มคนในระดับผู้นำ เช่น ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐฯ หรืออดีตนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิล ของอังกฤษ เป็นต้น ซึ่งคนเหล่านี้มักจะเข้านอนในช่วงเวลาที่ไม่เร็วไปกว่า 22.00 น.

อย่างไรก็ดี นี่เป็นงานวิจัยที่พิจารณาจากการใช้เหตุผลที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการเข้านอนเท่านั้น นักวิจัยไม่ได้พิจารณาปัจจัยอย่างอื่นร่วมด้วยเลย ซ้ำยังมีจุดบอดในเรื่องของสัดส่วนคนตื่นเช้าและตื่นสายที่ไม่เท่ากันอีกด้วย งานวิจัยชิ้นนี้จึงอาจไม่หนักแน่นพอที่จะสรุปได้ว่า คนนอนตื่นสายนั้นฉลาดกว่าคนนอนตื่นเช้าเสมอไป
ที่มา: http://news.springnewstv.tv/54191/ก็มีดี-วิจัยชี้นอนดึกตื่นสาย-มีแนวโน้มฉลาดแถมรวย
http://board.postjung.com/809305.html



นักวิทยาศาสตร์ทดลองถ่ายวิดีโอคู่รักขณะมีเพศสัมพันธ์

♠ Posted by Unknown in

เผยวิดีโอสแกนร่างกายมนุษย์ขณะมีเซ็กส์


นักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองถ่ายวิดีโอคู่รักขณะมีเพศสัมพันธ์ในเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (เอ็มอาร์ไอ)เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ เพื่อเป็นความรู้ในการวิจัย
วันจันทร์ 22 กันยายน 2557 เวลา 21:45 น.

 เว็บไซต์หนังสือพิมพ์สหรัฐ “ฮัฟฟิงตันโพสต์”รายงานจากประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ว่า นักวิทยาศาสตร์ของเครือข่ายวารสารทางการแพทย์ “บริติช เมดิคัล จอร์นัล” ประเทศอังกฤษ ถ่ายทำวิดีโอ ขณะคู่รักมีเพศสัมพันธ์กันในเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (เอ็มอาร์ไอ) ในภาพเผยให้เห็นการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย ทั้งอวัยวะเพศ ลิ้น และปอด โดยเริ่มจากหัวใจของทั้งคู่ที่เต้นแรงขึ้นเมื่อกำลังจูบกัน

    ทั้งนี้ งานดังกล่าวเป็นไปเพื่อพิสูจน์ว่า การกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้หญิงเกิดขึ้นจากการนึกคิดหรือเกิดจากความเป็นจริง โดยใช้หลักการกายวิภาคศาสตร์หรืออนาโตมี ที่ถ่ายทำด้วยเทคนิคของเอ็มอาร์ไอเข้ามาช่วย

    เอ็มอาร์ไอคือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับสร้างภาพอวัยวะภายในร่างกาย โดยอาศัยหลักการของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุ ใช้ได้ดีกับส่วนที่ไม่ใช่กระดูกแต่เป็นเนื้อเยื่อ และไม่มีอันตรายจากรังสีทำให้แพทย์สามารถอัดคลิปวิดีโอหรือถ่ายภาพได้มากขึ้น นอกจากนี้ ในวิดีโอยังปรากฎภาพสแกนร่างกายมนุษย์ขณะคลอดบุตรและปฏิสนธิอีกด้วย
ที่มา:dailynews

เตือนคนชอบทานหอย อาหารทะเลสุกๆดิบๆ

♠ Posted by Unknown in

แบคทีเรียกินเนื้อคน ติดเชื้อจากการทานหอยดิบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (18 ก.ย.) กำลังเป็นที่ฮือฮาอยู่ในโลกออนไลน์ตอนนี้ หลังจากในเว็บบอร์ดชื่อดังพันทิปดอทคอม มีผู้ใช้ล็อกอินชื่อว่าคุณ hot-holic ตั้งกระทู้ที่มีชื่อว่า "ระวัง!!! แบคทีเรียจากอาหารปรุงไม่สุกอาจทำให้ต้องตัดขา แขน หรือตายได้ (อยากเตือนทุกๆท่านให้รู้ก่อนจะสาย)" บอกเล่าถึงเรื่องราวของแบคทีเรียกินเนื้อคนที่เกิดจากการกินอาหารสุกๆดิบๆ โดยเฉพาะอาหารทะเล และ หอย ซึ่งทำให้แม่ของคุณ hot-holic ติดเชื้อที่เท้า มีตุ่มน้ำขึ้นมา ก่อนที่จะมีอาการบวม ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น แล้วขยายกว้างขึ้น โดยส่วนที่กลายเป็นสีม่วงค่อยๆ คล้ำมากขึ้นละยังลามไปเรื่อยๆ จนต้องผ่าเอาเนื้อตายออก โดยเรื่องราวที่คุณ hot-holic เปิดเผยมี ดังนี้
อยากขอเตือนเพื่อนๆที่ชอบทานหอย อาหารทะเลสุกๆดิบๆ ให้ระวังตัวกันหน่อยนะคะ

หลายๆคนคงอยากรู้อาการและสาเหตุว่าทำไมถึงมีอาการอย่างที่เห็นในภาพ และอยากบอกอยากเตือนให้ทุกคนระวังตัวด้วยค่ะ รู้และระวังตัวไว้ก่อนดีกว่าสายไปนะคะ เรื่องนี้เกิดกับคุณแม่ของเราเองและไม่อยากให้ใครต้องเป็นเหมือนคุณแม่จึงอยากบอกต่อค่ะ
อ่านต่อที่:news.sanook 

 

อาหารต้องห้าม ขณะท้องว่าง

♠ Posted by Unknown in
 อาหารต้องห้าม ขณะท้องว่าง

1.กล้วย เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง

2.กระเทียม เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

3.ผัก การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย

4.นมและนมถั่วเหลือง แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย

5.น้ำตาลหรืออาหารหวาน ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด
และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

6.ชา ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

7.ลูกพลับ ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
ทีมา : http://www.sanook.com/
http://board.postjung.com/802931.html

ผลร้าย จากการนอนดึกที่อาจตามมาโดยที่คุณไม่รู้ตัว

♠ Posted by Unknown in
เกือบตาย อันตรายจากการนอนดึก!

การนอนดึกไม่เคยส่งผลดีต่อสุขภาพใครทั้งสิ้น

บางคนนคิดว่าการนอนดึกทำให้ผอม แต่จริงๆแล้วอาจทำให้อ้วนมากกว่าเดิมอีกนะ ถึงแม้การนอนดึกจะทำให้เราอ่อนเพลีย ขอบตาดำ แต่สำหรับบางคนก็มีสารพัดเหตุผลมากมายที่เลี่ยงการนอนดึกไม่ได้ เพราะ ทำงานช่วงกลางคืน ปั่นการบ้านที่ยังไม่เสร็จ อ่านหนังสือสอบเป็นต้น
    ผลร้าย จากการนอนดึกที่อาจตามมาโดยที่คุณไม่รู้ตัว

1.  ที่รู้ๆกันอยู่แล้ว คือทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย บางคนเกิดความอ่อนเพลียแบบสะสมมานาน จะทำให้ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง เหมือเป็นไข้ ง่วงนอนตลอดเวลา

2.  สาวๆจ๋า ระวังไว้ให้ดีเลย ขอบตาคล้ำ ผิวหน้าเหี่ยวย่น หน้าแกกว่าวัย วิ่งหาซื้อครีมบำรุงกันไม่ทันเลยทีเดียว วิธีแบบธรรมชาติที่จะพอช่วยได้ด้วยการเอาแตงกวา หรือ มะเขือเทศ มาผ่าเป็นวงกลม ปิดตาทิ้งไว้ สักครึ่งชั่วโมง หรือพอกโยเกิร์ตทั่วหน้า ก็อาจจะช่วยได้บ้าง 10% ต้องขยันหมั่นทำบ่อยๆนำ เพราะวิธีเหล่านี้จะเห็นผลช้ามาก หรือาจจะกินวิตามิน อาหารเสริม ยิ่งโดยสมัยนี้มีการคิดค้นอาหารเสริมออกมาใหม่ หลากหลายตัวให้เลือกทานมาก อาทิเช่น อาหารเสริมสารสกัดจากเยื่อหุ้มรังไข่ปลาแซลมอน นักวิทยาศาสตร์เขาวิจัยมาแล้ว ว่ามีGrowth Hormones ซึ่งมีส่วนช่วยในการปรับสมดุลระบบในร่างกาย ทำให้เส้นเลือดใต้ขอบตาเรา หายคล้ำ และจางลง ผิวพรรณก็จะสดใส อย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะ หรือว่าจะเป็นคอลลาเจนต่างที่มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย เช่นกัน


 3.  นอนดึก ก็ต้องหิวดึก และแล้ว ก็กิน…. ระวังความอ้วนจะถามหา!!

4. กินดึก ระบบเผาพลาญจะทำงานช้า และผิดปกติในระบบการย่อยอาหาร รวมถึงอวัยวะทุกส่วนในร่างกายก็ทำงานผิดปกติตามๆกันไป เสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น โรคหัว โรคมะเร็ง เป็นต้น

  ข้อแนะนำ

  ด้วยความหวังดีอย่างสุดซึ้ง ลองปรับเวลานอนดูสิ คนเราควรนอนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงถึงจะดี แตถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ลองทานอาหารเสริม ตามที่แนะนำข้างต้นไว้สิจ้ะ รับรองว่าชีวิตรัตติกาลของคุณจะดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
ถึงแม้รูปนี้จะไม่เกี่ยวอะไรับการนอนดึก แต่เราก็หวังดีอยากให้เพื่อนๆทุกคนนอนเร็วๆกันนะจ๊ะ

เนื้อหาโดย: DoubleBubble
ทีมา : http://board.postjung.com/802806.html

ผลตรวจกรมวิทย์ฯ ออกแล้ว เผย "ส้มตำถาดเคลือบสี" ปนเปื้อนแคดเมี่ยม - สาเหตุโรคอิไตอิไต

♠ Posted by Unknown in
ผลตรวจกรมวิทย์ฯ ออกแล้ว เผย "ส้มตำถาดเคลือบสี" ปนเปื้อนแคดเมี่ยม - สาเหตุโรคอิไตอิไต

 วันที่ 4 ก.ย. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด รายงานว่า นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์​ได้เก็บตัวอย่างส้มตำถาดเพื่อพิสูจน์หาสารโลหะหนัก หลังจากมีการทดสอบเบื้องต้นโดยใส่กรดแอซีติก หรือกรดน้ำส้มสายชู และพบว่ามีการปนเปื้อนของสารแคดเมี่ยมเกินเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนนั้น ​การทดลองเบื้องต้นเป็นการหยดสารโดยตรงลงบนถาด ซึ่งอาจทำให้ได้ค่าที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เก็บส้มตำถาด จำนวน 10 ตัวอย่างเพื่อนำมาวิเคราะห์ โดยแบ่งการทดสอบเป็นการหยดสารแอซีติก แช่ไว้ตามมาตรฐาน 24 ชั่วโมงในอุณหภูมิ 12 องศา พบว่าสารละลายที่ออกมานั้น มีสารแคดเมียม 2.6 มิลลิกรัมต่อลิตร ​จากมาตรฐานกำหนดไว้ต้องไม่เกิน 0.25 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งการทดสอบดังกล่าวสารแคดเมียมเกินมาตรฐานทั้ง 10 ตัวอย่าง เป็น 10 เท่า ส่วนสารตะกั่วพบเพียง 3 ถาดแต่ไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด


 นพ.อภิชัย กล่าวว่า การทดสอบอีกส่วนที่สำคัญ คือ การหาปริมาณสารที่ละลายออกมาปนเปื้อนในส้มตำที่ใส่อยู่ในถาดโดยตรง ซึ่งจะทำให้ทราบคำตอบว่าในการรับประทานจริงๆ จะได้รับการปนเปื้อนด้วยหรือไม่ โดยสุ่มตัวอย่างส้มตำ 10 ตัวอย่าง ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง 3 ชั่วโมงแล้วนำมาหาการปนเปื้อน โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.ส้มตำที่ใส่กับถาดโดยตรงไม่มีอะไรรอง พบว่าจากการทดสอบพบสารแคดเมียมปนเปื้อนในส้มตำ 0.875 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม 2.ส้มตำถาดแบบที่มีใบตองรองที่ก้นถาดแบบมิดชิด ไม่พบการปนเปื้อนของแคดเมี่ยม 3.ส้มตำถาดแบบที่มีใบตองรองแต่ไม่มิดชิด พบการปนเปื้อนของสารแคดเมี่ยม 0.127 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และ 4.นำส้มตำใส่ถุงพลาสติกวางบนถาดเพื่อนำมาเปรียบเทียบการปนเปื้อนจากอาหารโดยตรงเท่านั้น ทั้งนี้ จากการทดสอบทุกแบบไม่พบการปนเปื้อนของสารตะกั่ว

 “ผลการตรวจดังกล่าว เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน ADI หรือปริมาณที่ไม่ควรบริโภคเกินในแต่ละวันอยู่ที่ไม่เกิน 25 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัวต่อเดือน ประกอบกับข้อมูลการเก็บตัวเลขการบริโภคอาหารของคนไทย ปริมาณแคดเมี่ยมที่พบในการทดสอบครั้งนี้โดยเฉพาะเมื่อใส่ส้มตำในถาดสีโดยตรง ถือว่าเกินปริมาณที่แนะนำ 1.4 เท่า ซึ่งหากมีการบริโภคอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่จะได้รับสารแคดเมี่ยมเกินมาตรฐาน และสะสมในร่างกายไปเรื่อยๆ ก็มีสูง ซึ่งผู้บริโภคควรเลือกร้านที่ใช้ภาชนะที่ปลอดภัย”นพ.อภิชัย กล่าว

 อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อว่า สำหรับอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากได้รับสารแคดเมี่ยมนั้น​ พบว่าเป็นสารที่หากได้รับในปริมาณมากหรือสะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดพิษต่อไตและกระดูกได้ หากกินต่อเนื่องในระยะยาวจะทำให้เสี่ยงไตวาย เกิดโรคปวดกระดูก หรือโรคอิไตอิไต นอกจากนี้องค์กรด้านมะเร็งยังกำหนดให้แคดเมี่ยมเป็นสารชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย

 อย่างไรก็ตามการทดสอบครั้งนี้ได้พยายามหาคำตอบที่ประชาชนสงสัยและตอบคำถามเรื่องความปลอดภัยเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค สำหรับผู้ประกอบการร้านค้านั้น สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยได้โดยดูที่มาตรฐาน มอก. ซึ่งจะกำหนดมาตรฐานของสีที่ใช้กับภาชนะสำหรับครัวเรือน ซึ่งสารแคดเมี่ยมและตะกั่วเป็นส่วนประกอบสำคัญของสี หากเลือกใช้ภาชนะที่ได้มาตรฐานก็จะปลอดภัยต่อผู้บริโภค
ทีมา :http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd09UZ3lOREU1TlE9PQ%3D%3D

มะเร็งตับ ถือเป็นโรคใกล้ตัวและพบได้บ่อยมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย

♠ Posted by Unknown in
มะเร็งตับ ถือเป็นโรคใกล้ตัวและพบได้บ่อยมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย

วันอังคาร 2 กันยายน 2557 เวลา 00:04 น.
มะเร็งตับ ถือเป็นโรคใกล้ตัวและพบได้บ่อยมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และเป็นมะเร็งที่มีการเจริญเติบโตของโรคที่รวดเร็วมาก และมักเสียชีวิตภายในระยะไม่เกิน 3-6 เดือน หากตรวจพบในระยะสุดท้าย แต่หากรู้จักวิธีการดูแลตนเองและหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่เนินๆ อาจช่วยให้เราห่างไกลจากโรคมะเร็งตับได้ อย่างไรก็ตามหลายคนคงมีการสงสัยว่าคนที่เป็นมะเร็งตับจะเป็นเฉพาะคนที่ดื่มสุรามาก หรือผู้ที่เคยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบมาก่อนหรือไม่

พญ.ศศิพิมพ์ สัลละพันธ์ อายุรแพทย์โรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี ได้อธิบายถึงโรคมะเร็งตับว่า ตับ คือ อวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ในการจัดการกับสารอาหารที่ดูดซึมเข้าจากลำไส้ สร้างสารต่างๆ เช่น สารประกอบที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน การแข็งตัวของเลือด และทำลายสารพิษที่รับประทานเข้าไป ซึ่งมะเร็งตับ จะเป็นการแบ่งตัวที่ผิดปกติของเซลล์ตับทำให้เกิดเป็นก้อนมะเร็งขึ้นมา โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญกระตุ้นให้เกิดมะเร็งตับ ได้แก่ โรคตับแข็งจากไวรัสตับอักเสบบี ซี เรื้อรัง จากแอลกอฮอลล์ ยา สำหรับไวรัสตับอักเสบบี อย่างไรก็ตามแม้คนที่ไม่เคยเป็นโรคตับแข็ง ก็สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้เช่นกัน ส่วนคนที่เป็นโรคอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นโรคของสังคมเมืองในปัจจุบันมักจะมีโรคตับอักเสบจากตับคั่งไขมันซ่อนอยู่ด้วย ซึ่งโรคนี้เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งตับได้

สำหรับประเภทของมะเร็งตับ หากเกิดกับตับโดยตรงในประเทศไทยจะมีพบมาก 2 ชนิด คือ มะเร็งชนิดเซลล์ตับ ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบได้ทั่วทุกภาค และ มะเร็งชนิดเซลล์ท่อน้ำดี จะเป็นมะเร็งที่พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่หากเป็นมะเร็งที่ลุกลามจากมะเร็งของอวัยวะอื่นมายังตับ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งทวารหนัก นอกจากนั้น มะเร็งที่พบที่ตับอาจจะเป็นมะเร็งที่ลุกลามจากอวัยวะอื่นมายังตับได้เช่นกัน เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด และมะเร็งทวารหนัก

ปัจจุบันมีการแบ่งระยะโรคมะเร็งตับได้ 5 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 จะมีก้อนเนื้อมะเร็งขนาดเล็กเพียงก้อนเดียวไม่เกิน 2 เซนติเมตร ระยะนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้
ระยะที่ 2 จะมีก้อนเนื้อมะเร็งเพียงก้อนเดียว หรือ มีก้อนเนื้อไม่เกิน3ก้อน ขนาดเล็กกว่า 3 เซนติเมตร ระยะนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้
ระยะที่ 3 จะมีก้อนเนื้อมะเร็งหลายก้อนขนาดโตกว่ามะเร็งระยะที่ 2
ระยะที่ 4 ก้อนเนื้อมะเร็งโตมาก หรือ ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อข้างเคียงตับ หรือ เข้าหลอดเลือดดำในท้อง หรือ ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ตับ หรือ แพร่กระจายตามกระแสเลือดเข้าสู่ตับกลีบอื่นๆ รวมถึงลามไปสู่อวัยวะอื่นๆ
ระยะที่ 5 เป็นระยะที่ผู้ป่วยมีสุขภาพทรุดโทรมมาก นอนติดเตียงเป็นส่วนใหญ่ และ/หรือตับทำงานแย่มาก ไม่ว่าก้อนมะเร็งจะมีขนาดเท่าใด ระยะนี้แพทย์จะเลือกวิธีรักษาตามอาการให้ผู้ป่วยสบายขึ้น

พญ.ศศิพิมพ์ อธิบายต่อว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนใหญ่ที่เป็นระยะเริ่มแรกมักจะไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน ส่วนอาการที่สามารถพบได้และเข้าข่ายน่าสงสัย เช่น ปวดจุกแน่นท้อง รับประทานอาหารแล้วอิ่มเร็ว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หากมีอาการตัว ตาเหลือง ท้องมานร่วมด้วย ส่วนใหญ่มักจะเป็นมากแล้ว สำหรับการวินิจฉัยนั้น แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมโดยการทำอัลตร้าซาวด์ ( Ultrasound ) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ( CT scan ) หรือการตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( MRI ) ของช่องท้อง ร่วมกับการตรวจเลือด

เมื่อวินิจฉัยได้แล้ว อย่าเพิ่งวิตกกังวลจนเกินไปนัก เพราะมะเร็งตับยังมีวิธีรักษาให้หายขาดได้ เช่น การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก หากตับทำงานแย่มากสามารถรักษาโดยการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ หรือแพทย์อาจจะเลือกใช้พลังงานความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุ (RFA) จี้เผาทำลายก้อนมะเร็ง การจะเลือกวิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย แต่หากไม่สามารถทำวิธีดังกล่าวได้ ก็ยังมีวิธีอื่น ๆ อีกที่ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น เทคนิค embolization การให้ยา target treatment แบบรับประทาน ปัจจุบันการรักษามะเร็งตับก้าวหน้ากว่าสมัยก่อนมาก ทั้งในด้านวิธีการรักษา ยา ตลอดจนเครื่องมือที่ทันสมัย โดยหากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และมีกำลังใจที่ดีจะทำให้ผู้ป่วยสามารถต่อสู้กับโรคร้ายได้

เมื่อทราบดังนี้แล้ว เราทุกคนควรเริ่มดูแลตนเองให้ห่างไกลจากมะเร็งตับซึ่งทำได้ไม่ยาก ได้แก่ การงดดื่มเหล้า งดสูบบุหรี่ ใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารไม่เผลอไปกับของอ้วน ๆ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อดูแลไม่ให้ตนเองมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน เลี่ยงอาหารแห้งที่เก่า และ ไม่สะอาด เช่น ถั่วลิสง กระเทียม พริกแห้ง เต้าหู้ยี้ ที่อาจจะมีเชื้อราปนเปื้อน หากท่านใดเป็นไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง หรือมีความเสี่ยงดังที่ได้กล่าวมา ควรไปพบแพทย์ เพียงเท่านี้มะเร็งตับก็ยากที่จะมาเยือนตัวเราได้
ทีมา : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/263528/โรคมะเร็งตับ+ภัยเงียบที่ควรระวัง

ข้าวเหนียวหมูปิ้งทานมื้อเช้าดีเหรอ

♠ Posted by Unknown in
ข้าวเหนียวครึ่งทัพพีมีพลังงาน 80 กิโลแคลอรี่ หมูปิ้ง 1 ไม้คิดเป็น 130 แคลอรี่ โดยส่วนใหญ่จะทานกันจริง ๆ ก็ 3 ไม้ ต่อ 1 คน ซึ่งคิดเป็นพลังงาน 470 กิโลแคลอรี่ (แต่ถามว่า 3 ไม้จริงเหรอ เพราะส่วนใหญ่ก็ 5-10ไม้ = 700-1400 แคลอรี่ ในมื้อเช้า) เสี่ยงสารก่อมะเร็งสิ่ง ที่ได้ ไขมัน โปรตีนนิดหน่อย คาร์บ ไม่มีสารอาหารครบห้าหมู่ที่ร่างกายควรได้รับในตอนเช้า

นาน ๆ ทานทีก็โอเคนะคะ แต่ใครที่ทานเป็นประจำ ก็ควรจะลดลงไปหาทานอาหารครบห้ามหมู่แทนบ้าง เช่น ไข่ ไก่ ปลา นม สลัด ขนมปัง ตอนเช้า ยังดีกว่า เพราะมื้อเช้าควรเป็นมื้อที่ร่างกายได้รับสิ่งที่ดีกว่าข้าวเหนี่ยวหมูปิ้ง
ค่อยๆปรับกันนะคะ เผื่อสุขภาพในระยะยาว
.....................................
ทีมา : http://www.toptenthailand.com/review/detail/20140814101456394

อีโบลา เผยยอดตายล่าสุด....

♠ Posted by Unknown in
อีโบลา เผยยอดตายล่าสุด 1,013 ราย ป่วย 1,848 ราย

            อีโบลา ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงกว่า 1,013 ราย ด้านสหรัฐอเมริกา สั่งอนุมัติยาทดลองฆ่าเชื้ออีโบลา
            เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2557 สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า องค์การอนามัยโลก ได้ออกมาประกาศว่า ในตอนนี้ยอดผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลามีมากถึง 1,013 คน และในช่วงระหว่างวันที่ 9-11 สิงหาคม ก็มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 52 คน ใน 3 ประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก

            ทั้งนี้ ในรอบ 3 วันที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากโรคอีโบลามากที่สุดในประเทศไลบีเรีย ถึง 29 คน ตามมาด้วยเซียร์ร่า ลีโอน ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 17 คน และประเทศกินี 6 คน และในตอนนี้ ยอดผู้ป่วยจากโรคอีโบลาก็พุ่งสูงถึง 1,848 ราย

            ด้านประธานาธิบดี บารัค โอบามา และองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้มีการส่งยาทดลองฆ่าเชื้ออีโบลา ไปที่ประเทศไลบีเรีย โดยที่บริษัท แมปป์ ฟาร์มาซูติคอล ผู้ผลิตยา ซีแมปป์ ได้ออกแถลงการณ์ผ่านหน้าเว็บไซต์ว่า "เพื่อเป็นการตอบสนองต่อคำร้อง ที่ทางบริษัทได้รับจากประเทศในแอฟริกาตะวันตก ทางบริษัทขอแจ้งให้ทราบว่า จำนวนยาซีแมปป์ที่ใช้ต้านเชื้ออีโบลานั้น เหลืออยู่เพียงน้อยนิด และทีมแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจในการใช้ยานี้กับผู้ป่วย ยาซีแมปป์นี้ เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโดยไม่คิดมูลค่า"

            ด้านชาวอเมริกัน 2 คนและชาวสเปน 1 คนที่ติดเชื้ออีโบลา ได้รับยาชนิดนี้แล้ว โดยมิชชันนารีชาวอเมริกัน 2 คนที่ติดเชื้ออีโบลาในขณะที่ออกพื้นที่ในเมืองมอนโรเวีย เมืองหลวงของไลบีเรีย ได้รับการรักษาเชื้ออีโบลาหลังจากที่มีการส่งตัวผู้ป่วยกลับมาที่สหรัฐอเมริกา และบาทหลวงชาวสเปนผู้ติดเชื้ออีโบลา ก็ได้รับยาดังกล่าว และถูกส่งตัวกลับไปรักษาที่สเปน
.......................................
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ทีมา : health.kapook.com

6 เมนูสู้ไข้หวัด

♠ Posted by Unknown in
เข้าช่วงหน้าฝนกันแล้วเพื่อนๆบางคนอาจกำลังไม่สบาย หรือ เป็นหวัดจามกันทั่วบ้านอยู่ก็เป็นได้วันนี้ มีเมนูสูตรเด็ดช่วยรักษาอาการไข้หวัดได้ เรามาลองดู 6 เมนู ทีเด็ด กันดีกว่านะค่ะ

    1. น้ำผักผลไม้สด กลุ่มที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบตาแคโรทีน (วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี จะช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น

   2. ซุปไก่ร้อน ซุปไก่มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า นิวโทรฟิลด์ ไปยังเนื้อเยื่อปอด ทำให้ลดกระบวนการอักเสบในปอด และลดอาการไอได้ ประกอบด้วย ไก่ มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง ก้านขึ้นฉ่าย ผักชี แครอท หัวผักกาด เกลือ และพริกไทย

   3. ชาร้อน ชาร้อนทุกชนิดล้วนมีสารโพลิฟีนนอล สารแอนติออกซีเดนต์ในพืชที่ช่วยลดอาการติดเชื้อ ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกชุ่มชื้น หายใจสะดวก ควรชงชาในน้ำร้อนตั้งทิ้งไว้ราว 1 นาที จะดึงคุณสมบัติแก้หวัดชาได้ดีที่สุด

   4. กระเทียม เมื่อมีอาการหวัด ให้นำกระเทียม 1 กลีบเล็กมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วใช้ช้อนบี้ให้แตก เติมน้ำร้อนลงไป 1 ถ้วย ปิดฝาทิ้งไว้ 5 นาที จากนั้นเติมน้ำผึ้ง และมะนาวเล็กน้อย ดื่มวันละ 2 ถ้วย จะช่วยบรรเทาอาการได้ เมื่อหายแล้วให้ดื่มต่ออีกสัก 3 วัน วันละ 1 ถ้วย

   5. น้ำขิง ขิงช่วยขับเหงื่อ มีฤทธิ์ แก้หวัดเย็น (หวัดเย็น คือรู้สึกหนาว มีไข้ต่ำ ไม่ค่อยมีเหงื่อออก มีเสมหะมักเหลวใส) และยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด และข้ออักเสบได้ ช่วงฝนพรำ สภาพอากาศเปลี่ยนและชื้น ๆ แบบนี้ เมื่อเริ่มจะรู้สึกเซื่อง ๆ เฉื่อยชา หนาว ๆ มีน้ำมูกใสไหลจี๊ด ๆ หรือเริ่มมีเสมหะ ขอให้รีบต้มน้ำขิงดื่มเลย

   6.  โยเกิร์ต โยเกิร์ตช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยเพิ่มการสร้างสารแอนติบอดีบางชนิดได้ การรับประทานโยเกิร์ตทุกวันเป็นเวลา 1 ปี ช่วยลดอาการจากหวัดและภูมิแพ้ ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น แนะนำให้เลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติชนิดไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย และมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่

 เรียบเรียงโดย pangjung
ทีมา : chogunshop


นิ่วทอนซิล สาเหตุของกลิ่นปาก

♠ Posted by Unknown in
สาเหตุของกลิ่นปาก บางคนอาจสงสัยว่าทำไมยังมีกลิ่นปากทั้งที่ดูแลอย่างดีแล้ว ทั้งแปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร ใช้น้ำยาบ้วนปาก ถึงขั้นใช้สเปรย์ดับกลิ่นปาก ก็ยังมีกลิ่นปากอยู่ บางทีคุณอาจจะมีอะไรลึกลับซ่อนอยู่ก็เป็นได้ นั่นก็คือ…tonsil stone หรือ นิ่วทอนซิล นั่นเอง!!

ลักษณะของ tonsil stone คือ ก้อนเล็กๆ มีสีขาวหรือสีขาวปนเหลือง มีกลิ่นเหม็น เจ้าตัวนี้แหละเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของกลิ่นปาก เพราะมีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ มีเรื่องขำๆ เกี่ยวกับนิ่วทอนซิลมาเล่าให้ฟัง มีคนเล่าในเว็บบอร์ดว่า เหม็นขนาดที่เอามาแกล้งคนที่นอนหลับอยู่ยังต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความเหม็น (555+) ใครที่กำลังกลุ้มใจเรื่องกลิ่นปาก พยายามหาวิธีกำจัดกลิ่นปากยังไงก็ยังไม่สำเร็จ ต้องสำรวจตัวเองด่วนเลยนะคะ ว่ามีนิ่วทอนซิลซ่อนอยู่รึเปล่า?

tonsil stone คือ อะไร? ต่อมทอนซิลจะอยู่บริเวณใกล้โคนลิ้น โดยปกติแล้วต่อมทอนซิลของเราจะมีซอกหลืบอยู่ ซึ่งในบางคนเมื่อทานอาหารเข้าไป เศษอาหารหลุดเข้าไปในสะสมในซอกนั้น ลักษณะคล้ายๆ ขี้ฟัน เมื่อสะสมมากขึ้นๆ บวกกับแบคทีเรียในช่องปาก นานวันเข้าก็กลายเป็นก้อนนิ่วทอนซิลที่มีกลิ่นเหม็น มีลักษณะเป็นก้อนสีขาว หรือสีขาวปนเหลือง ผิวขรุขระ มีตั้งแต่ขนาดเล็กๆ ไปจนถึงขนาดใหญ่ถึง 2-3 เซนติเมตร วันดีคืนดีถ้าเราไอแรงๆ นิ่วทอนซิลจะหลุดออกมาด้วย (อย่าเผลอไปดมเข้าเชียวเกิดสลบขึ้นมาอย่าหาว่าเราไม่เตือนนะ 555+)

วิธีกำจัด tonsil stone
โดยเฉพาะคนที่ต่อมทอนซิลอักเสบบ่อยๆ มักจะมีปัญหานี้ เพราะนอกจากไวรัสและแบคทีเรียแล้ว นิ่วทอนซิลขนาดใหญ่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต่อมทอนซิลอักเสบ วิธีกำจัดเบื้องต้น ถ้าไม่เป็นเยอะสามารถเอาออกเองได้ โดย

1.ล้างมือให้สะอาด
2. กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ
3. ใช้ cotton bud ที่สะอาด ค่อยๆ กดแล้วเขี่ยออกอย่างเบามือ (ห้ามใช้ของแข็งหรือของมีคม)
4.แปลงฟันและลิ้นให้สะอาด
5. กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออีกครั้ง

แต่ถ้าเป็นเยอะหรือไม่แน่ใจในความปลอดภัย ทางที่ดีที่สุดให้คุณหมอเอาออกให้ค่ะ

วิธีป้องกัน คือ แปรงฟันและลิ้นให้สะอาด และที่สำคัญคือกลั้วคอทุกครั้งหลังแปรงฟัน ถ้าเป็นน้ำเกลือจะดีมาก
ส่วนในรายที่มีต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรังร่วมด้วย หรือมีภาวะต่อมทอนซิลโตและจำเป็นเท่านั้นจึงสามารถผ่าตัดต่อมทอนซิลออกได้
ทีมา : https://www.facebook.com/SmileGalleryDental
ที่มา:http://www.sabaideehealth.com/